วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Tenses

                                                                  Tenses

Tense   คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา  ที่แสดงให้เราทราบว่า  การกระทำหรือเหตุการ นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด   ซึ่งเรื่อง  tense  นี้เป็นเรื่องสำคัญ  ถ้าเราใช้    tense  ไม่ถูก  เราก็จะสื่อภาษากับเขา ไม่ได้  เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ  tense  เสมอ  ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าาเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ   แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป  tense  นี้มาเป็นตัวบอก  ดังนี้การศึกษาเรื่อง  tense  จึงเป็นเรื่องจำ เป็น.

Tense  ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น  3  tense  ใหญ่ๆคือ

               1.     Present   tense        ปัจจุบัน

               2.     Past   tense              อดีตกาล

               3.     Future   tense          อนาคตกาล

ในแต่ละ  tense ยังแยกย่อยได้  tense  ละ  4  คือ

              1 .   Simple   tense    ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).

              2.    Continuous  tense    กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)

              3.     Perfect  tense     สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).

              4.     Perfect  continuous  tense  สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย).





โครงสร้างของ  Tense  ทั้ง  12  มีดังนี้

Present  Tense

                      [1.1]   S  +  Verb  1  +  ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).

[Present]       [1.2]   S  +  is, am, are  +  Verb  1  ing   +  …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).

                      [1.3]   S  +  has, have  +  Verb  3 +  ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).

                      [1.4]   S  +  has, have  +  been  +  Verb 1 ing  + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).

Past Tense

                      [2.1]  S  +  Verb 2  +  …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).

[Past]            [2.2]  S  +  was, were  +  Verb 1  +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).

                      [2.3]  S  +  had  +  verb 3  +  …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).

                      [2.4]  S  +  had  +  been  +  verb 1 ing  + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).

Future Tense

                      [3.1]  S  +  will, shall  +  verb 1  +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).

[Feature]        [3.2]  S  +  will, shall  +  be  +  Verb 1 ing  + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).

                      [3.3]  S  +  will,s hall  +  have  +  Verb 3  +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).

                      [3.4]  S  +  will,shall  +  have  +  been  + verb 1 ing  +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด -  เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า). 

                

หลักการใช้แต่ละ  tense  มีดังนี้

              [1.1]   Present  simple  tense    เช่น    He  walks.   เขาเดิน,

1.    ใช้กับ เหตุการที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย.   

2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด  (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).

3.    ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้   เช่น  รัก,  เข้าใจรู้  เป็นต้น.

4.    ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย).

5.    ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต  เช่นนิยาย นิทาน.

6.    ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต    ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้น ด้วยคำว่า    If    (ถ้า),       unless   (เว้นเสียแต่ว่า),    as  soon  as  (เมื่อ,ขณะที่),    till  (จนกระทั่ง) ,   whenever   (เมื่อไรก็ ตาม),    while  (ขณะที่)   เป็นต้น.

7.    ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ  และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย  เช่น  always (เสมอๆ),  often   (บ่อยๆ),    every  day   (ทุกๆวัน)    เป็นต้น.

8.    ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น  [1.1]  ประโยคตามต้องใช้   [1.1]  ด้วยเสมอ.





[1.2]   Present  continuous  tense   เช่น   He  is  walking.  เขากำลังเดิน.

1.    ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้  now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้น ประโยคหลังกริยา หรือสุดประโยคก็ ได้).

2.    ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน  เช่น  ในวันนี้ ,ในปีนี้ .

3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้  เช่น เร็วๆนี้พรุ่งนี้.

*หมายเหตุ   กริยาที่ทำนานไม่ได้  เช่น  รัก ,เข้าใจรู้ชอบ  จะนำมาแต่งใน  Tense  นี้ไม่ได้.



            [1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว.

1.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน  และจะมีคำว่า Since  (ตั้งแต่) และ for  (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.

2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกใน ปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคต ก็ได้)และจะมีคำ ว่า  ever  (เคย) ,  never  (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย.

3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้   Tense

4.    ใช้กับ เหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ  Just   (เพิ่งจะ), already  (เรียบร้อยแล้ว), yet  (ยัง), finally  (ในที่สุด)  เป็นต้น.







   [1.4] Present  perfect  continuous  tense    เช่น  He  has  been  walking .  เขาได้กำลังเดินแล้ว.

*  มีหลักการใช้เหมือน  [1.3]  ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย    ซึ่ง [1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่  ส่วน [1.4]  นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.



             [2.1] Past  simple  tense      เช่น  He  walked.  เขาเดิน แล้ว.

1.   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต   มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะ ที่พูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น Yesterday, year  เป็นต้น.

2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always, every  day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น  yesterday,  last  month )  2  อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.

3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิด อยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว  ซึ่งจะมีคำว่า  ago  นี้ร่วมอยู่ด้วย.

4.      ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [2.1]  ประโยคคล้อยตามก็ต้อง เป็น [2.1]  ด้วย.



        [2.2]   Past continuous  tense   เช่น    He  was  walking .  เขากำลังเดินแล้ว

1.     ใช้กับเหตุการณ์   2   อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน  { 2.2  นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้  2.2   -  ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1}.

2.     ใช้กับเหตุการณ์ที่ ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค  ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค  เช่น  all  day  yesterday  etc.

3.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น  หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1  กับ  2.2  จะดูจืดชืดเช่น   He  was  cleaning  the  house  while  I was  cooking  breakfast.



         [2.3]   Past  perfect  tense    เช่น  He  had walk.  เขาได้เดินแล้ว.

1.    ใช้กับ เหตุการณ์  2  อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต  มีหลักการใช้ดังนี้.

เกิดก่อนใช้  2.3  เกิดทีหลังใช้  2.1.

2.     ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง  เช่น   She  had  breakfast  at  eight o’ clock  yesterday.



        [2.4]   past  perfect  continuous  tense    เช่น   He  had  been  walking.

           มีหลักการใช้เหมือนกับ  2.3  ทุกกรณี  เพียงแต่  tense  นี้  ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1  ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่  2  โดยมิได้หยุด  เช่น  When  we  arrive  at  the  meeting ,  the  lecturer  had  been  speaking  for  an  hour  .   เมื่อพวกเราไปถึงที่ ประชุม  ผู้บรรยายได้พูดมาแล้ว เป็นเวลา 1  ชั่วโมง.







  [3.1]   Future  simple  tense      เช่น   He  will  walk.    เขาจะเดิน.

              ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ซึ่งจะมีคำว่า  tomorrow,  to  night,  next  week,  next  month   เป็นต้น  มาร่วมอยู่ด้วย.

           * Shall   ใช้กับ     I    we.

             Will    ใช้กับบุรุษที่  2  และนามทั่วๆไป.

             Will,  shall  จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญาข่มขู่บังคับตกลงใจแน่วแน่.

             Will,  shall   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.

             Be  going  to  (จะ)  ใช้กับความจงใจของมนุษย์ เท่านั้น  ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข.



       [3.2]    Future   continuous    tense    เช่น   He  will  be  walking.    เขากำลังจะ เดิน.

1.     ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอน ด้วยเสมอ).

2.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต  มีกลักการใช้ดังนี้.

               -   เกิดก่อนใช้    3.2      S  +  will  be,  shall  be  +  Verb 1  ing.

                -  เกิดทีหลังใช้   1.1     S  +  Verb  1 .





        [3.3]   Future   prefect  tens    เช่น  He  will  walked.  เขาจะได้เดินแล้ว.

1.  ใช้กับเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต  โดยจะมีคำว่า  by  นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลา ด้วย  เช่น   by  tomorrow  ,   by  next  week   เป็น ต้น.

2.  ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.

              -      เกิดก่อนใช้   3.3      S  +  will, shall  +  have  +  Verb 3.

-         เกิด ที่หลังใช้   1.1    S  +  Verb 1 .



        [3.4]  Future  prefect  continuous  tense เช่น He  will  have  been  walking. เขาจะได้กำลัง เดินแล้ว.

          ใช้เหมือน  3.3  ต่างกันเพียงแต่ว่า  3.4  นี้เน้นถึงการกระทำที่  1  ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่  2  และจะกระทำต่อไปในอนาคต อีกด้วย.

           *   Tense  นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อย นัก  โดยเฉพาะกริยาที่ทำนาน ไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน  Tense  นี้เด็ดขาด.





Credit.

http://marujo2524.igetweb.com/?mo=3&art=570356

http://blog.eduzones.com/yimyim/3416

Adjective (คำคุณศัพท์)

Adjective
ตำแหน่งของคุณศัพท์ ( Position )
Adjective ( คุณศัพท์ ) คือคำ ( word ) วลี ( phrase ) หรือประโยค ( sentence )    ซึ่งใช้อธิบายหรือขยายคำนาม หรือสรรพนาม ให้ได้ ความชัดเจนยิ่งขึ้น กล่าวคือเป็นการบอกให้รู้ลักษณะคุณสมบัติของนามหรือสรรพนามนั้นว่าเป็นอย่างไร เช่น good, bad, new, hot, my, this  โดยทั่วไปการวางตำแหน่ง คุณศัพท์ในประโยคจะวางได้ แบบ
  • ใช้วางประกอบข้างหน้านาม ( attributive use ) ที่มันขยาย
She is a beautiful girl.  เธอเป็นคนสวย ( beautiful ขยายนาม girl)
These are 
small envelopes. พวกนี้เป็นซองเล็กๆ  ( small ขยายนาม envelopes)
  • ใช้วางเป็นส่วนของกริยา ( predicative use ) โดยอยู่ตามหลัง verb to be เมื่อ adjective นั้นขยาย noun หรือ pronoun ที่อยู่หน้า verb to be
The girl is beautiful. เด็กผู้หญิงคนนั้นสวย 
      (
 beautiful เป็นคุณศัพท์ที่ตามหลัง verb to be  ขยาย girl และ the เป็นคุณศัพท์ขยาย girl เช่นกัน
These envelopes are small. ซองพวกนี้มีขนาดเล็ก
      (
 small เป็นคุณศัพท์ที่ตามหลัง verb to be ขยาย envelopes ,these เป็น คุณศัพท์ขยาย envelopes เช่นกัน )
She has been sick all weekเธอป่วยมาตลอดอาทิตย 
      (
 sick เป็น คุณศัพท์ ที่ตามหลัง verb to be   ขยายสรรพนาม she )
( You) Be careful. คุณ ) ระมัดระวังด้วย 
      
( careful เป็นคุณศัพท์ที่ตามหลัง verb to be ขยาย you    ซึ่งในที่นี้ละไว้เป็นที่เข้าใจ ) 
That cat is fat and  white. แมวตัวนั้นอ้วนและมีสีขาว
     ( That เป็นคุณศัพท์ประกอบหน้านาม   fat และ white เป็นคุณศัพทซึ่งเป็นส่วนของกริยาขยาย cat
 หลักเกณฑ์อื่นๆ
1. คุณศัพท์ที่ประกอบหน้านามไม่ได้ ต้องวางหลัง verb to be หรือ linking verb* เท่านั้นเรียกว่าเป็น predicate adjective ได้แก่
 alike
 เหมือน
 afraid
 กลัว
 asleep
 หลับ
 alone
 โดยลำพัง
 awake
 ตื่นอยู่
 alive
 มีชีวิตอยู่
 aware
 ระวัง
 ashamed
 ละอาย
 afloat
 ลอย
 unable
ไม่สามารถ
 content
 พอใจ
 worth
 มีค่า
 ill
 ป่วย
 well
 สบายดี
 เช่น
These two women look alikeผู้หญิง คนนี้ดูเหมือนกัน ( look เป็น linking verb, alike เป็น predicative adj.)
The boy is 
asleep. เด็กชายกำลังนอนหลับ ( ทำเป็น attributive adj. ได้คือ The  sleeping boy. )
The sky is 
aglowท้องฟ้าสว่างไสว ทำเป็น attributive adj. ได้คือ The  glowing sky.
linking verb หมายถึง กริยาที่ใช่เชื่อมประธาน ( Subject) กับคำอื่นให้สัมพันธ์ กันเพื่อช่วยขยายประธานของประโยค ให้ได้ใจความสมบูรณ์ที่นอกเหนือไปจาก verb to beเช่นappear, become, feel, get, grow,keep, look, go, remain, seem, smell, sound, taste, turn.
 2. คุณศัพท์ที่ใช้เป็นส่วนของกริยา ( verb to be ) ไม่ได้ เช่น
 former
 ก่อน
 latter
 หลัง
 inner
 ภายใน
 outer
 นอก
 actual
 ในทางปฏิบัติ
 neighboring
 ใกล้เคียง
 elder
 อายุมากกว่า
 drunken
 เมา
 entire
 ทั้งสิ้น
 shrunken
 หด
 especial
 โดยเฉพาะ
 wooden
 ทำด้วยไม้
 middle
 กลาง


เช่น   A wooden heart. (ไม่ใช่  A heart is wooden )
 3. ถ้าคุณศัพท์นั้นทำหน้าที่ขยายนามหรือสรรพนามที่เป็นกรรมของประโยค ต้องวางคุณศัพท์ไว้หลังกรรมนั้นเพื่อให้ได้ความชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
We considered his report  unsatisfactory.  เราพิจารณาเห็นว่ารายงานของเขาไม่เป็นที่น่าพอใจ
    
  (unsatisfactory เป็นคุณศัพท์ขยาย his report  ซึ่งเป็นกรรมของประโยค )
 4. เมื่อใช้กับข้อความแสดงการวัด ( measurement) วางคุณศัพท์ไว้หลังนาม หรือสรรพนาม เช่น
My uncle is sixty years old.  ลุงของฉันอายุ 60 ปี    (ไม่ใช่ My uncle is old sixty years.)
This road is fifty feet 
wide. ถนนนี้กว้าง 50 ฟุต    (ไม่ใช่ This road is wide fifty feet.)
 5. เมื่อคุณศัพท์หลายคำประกอบนามหรือสรรพนามเดียว จะวางข้างหน้าหรือข้างหลังก็ได้   โดยจะต้องมี and  มาคั่นหน้าคุณศัพท์ตัวสุดท้าย เช่น
The building, old and unpainted, was finally demolished.   ตึกซึ่งเก่าและสีทรุดโทรม
    ในที่สุดก็ถูกทุบทิ้ง ( วางข้างหลัง ) หรือThe 
old and unpainted building was finally demolished. วางข้างหน้า )
 He bought a 
new, powerful and expensive car . เขาซื้อรถใหม่ที่กำลังแรงสูงและราคาแพง หรือ 
 He bought a car
new, powerful and expensive.  
 6. คุณศัพท์วางตามหลังคำสรรพนาม ( pronoun ) ที่มันขยาย ต่อไปนี้        
 someone
 anyone
 no one
 everyone
 somebody
 anybody
 nobody
 everything
 something
 anything
 nothing
 everybody
เช่น
She wanted to marry someone rich and smart.  เธอต้องการแต่งงานกับใครสักคนซึ่งหล่อและรวย
I'll tell you something 
important. ฉันจะเล่าบางอย่างที่สำคัญให้คุณฟัง
 7. วาง คุณศัพท์ไว้หลังนามหรือสรรพนามถ้าคุณศัพท์นั้นมีข้อความ ( prepositional phrase ) ประกอบอยู่      เช่น
Thailand is a country famous for its food and  fruits.  ไทยเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในเรื่องอาหารและผลไม้
      (
famous เป็นคุณศัพท์    famous for food and fruits เป็นข้อความขยายคำนาม country)
She is the woman 
suitable for the position. เธอเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมกับตำแหน่ง 
      
(suitable เป็นคุณศัพท  suitable for the position.  เป็นข้อความขยาย  woman )
 8. คุณศัพท์บางคำมีความหมายต่างกัน ถ้าวางในตำแหน่งที่ต่างกัน เช่น
He is and old friend.  เขาเป็นเพื่อนเก่า
My friend is 
old.  เพื่อนของฉันสูงอายุ
The teacher was present.  ครูมาอยู่ที่นั้นด้วย
The 
present teacher.  ครูคนปัจจุบัน
Harry was late.  แฮรีมาสาย
The 
late Harry.  แฮรี่ผู้เสียชีวิตไปแล้ว
 9. กลุ่มของคำที่เป็นวลี ( phrase) หรืออนุประโยค ( clause ) เมื่อขยายคำนาม ต้องวางหลังนามหรือสรรพนามที่มันประกอบ เช่น
The woman sitting in the chair is my mother .  ผู้หญิงที่นั่งที่เก้าอี้เป็นแม่ของฉัน 
      ( sitting in the chair
  เป็นวลี ขยายคำนาม  the woman)
The man
 who came to see me this morning is my uncle.     ผู้ชายที่มาหาฉันเมื่อเช้านี้คือลุงของฉัน 
     ( who came to see me this morning
  เป็นอนุประโยคขยายคำนาม the man )
หมายเหตุ    ถ้านามใดมีทั้งวลี และ อนุประโยค มาขยายพร้อมกัน ให้เรียงวลีไว้หน้าอนุประโยคเสมอ เช่น
I like the picture on the wall which was  painted by my friend.     ฉันชอบรูปภาพที่แขวนบนข้างซึ่งวาดโดยเพื่อนของฉัน
      ( on the wall 
เป็นวลีขยาย the picture) ( which was painted by my friend เป็นอนุประโยคขยาย the picture ) 
There is only one solution possible.   (possible วางหลังคำนาม solution )
There are some tickets 
available.   ( available วางหลังคำนาม tickets)
 10. คุณศัพท์ที่เป็นสมญานามไปขยายคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ ให้วางหลังคำนามนั้นเสมอ เช่น
 Alexander the GreatWilliam the Conqueror
 11.โดยปกติคุณศัพท์จะต้องวางหลัง article ที่เป็น a หรือ an เช่น a good man   ยกเว้นคุณศัพท์ต่อไปนี้   เมื่อนำไปขยายคำนามที่เป็นเอกพจน์และนับได้ ให้วางคุณศัพท์นั้นไว้หน้า a หรือ anได้แก่ half, such, quite,  rather และ many เช่น
John is such a good man. ( a good man ป็นนามเอกพจน์ )This is rather a valuable picture ( a valuable picture เป็นนามเอกพจน์ )
 12. เมื่อ adjective หลายคำประกอบคำนามเดียว ควรวางลำดับก่อนหลังดังนี้
Article
Demonstrative
Possessive
Indefinite
Adjective
บอกจำนวนนับ
คำอธิบายลักษณะ
นามรองทำหน้าที่คุณศัพท์

นามหลัก

คุณภาพ
ลักษณะ
รูปร่าง
ขนาด
อายุ
สี
สัญชาติ
แหล่งกำเนิด
วัสดุ
A

beautiful

old

Italian

touring
car.
An

expensive

antique


silver

mirror.
The
four
gorgeous
long-stemmed

red



roses.
Her

short


black



hair.
Our
two

big
old

English

  
sheep-
dogs.

Some
delicious



Thai


food.
Many

modern
small



brick

houses.

Adjectives ( คำคุณศัพท์ )
Types (ชนิดของคุณศัพท์)
โดยทั่วไปแบ่งออกได้ ชนิดคือ
1. Proper adjective
5. Demonstrative adjective
2. Descriptive adjective
6. Distributive adjective
3. Quantitative adjective
7. Possessive adjective
4. Numeral adjective
8. Interrogative adjective
 1. Proper adjective ( คุณศัพท์แสดงสัญชาติ )
เป็นคำคุณศัพท์ที่ขยายนามเพื่อบอกสัญชาติ มีรูปเปลี่ยนแปลงมาจาก Proper noun และต้องขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอ เช่น
Proper noun
Proper Adjective
China =ประเทศจีน
Chinese =แห่งประเทศจีน,ชาวจีน
France =ประเทศฝรั่งเศส
French =แห่งประเทศฝรั่งเศสชาวฝรั่งเศส
Italy =ประเทศอิตาลี
Italian =แห่งประเทศอิตาลี,ชาวอิตาลี
เช่นประโยค
We learn the French literature every Monday. เราเรียนวรรณคดีฝรั่งเศสทุกวันจันทร์
I like 
Chinese food. ฉันชอบอาหารจีน
Proper adjective จะมีวิธีการเขียนไม่เหมือนกันดังนี้
1.1 Proper adjective ที่ลงท้ายด้วย - ese เช่น
Proper
noun
proper
adjective
proper
noun
proper
adjective
Burma
Burmese
Lebanon
Lebanese
Bhutan
Bhutanese
Nepal
Nepalese
China
Chinese
Portugal
Portuguese
Congo
Congolese
Taiwan
Taiwanese
Japan
Japanese
Vietnam
Vietnamese
1.2 Proper adjective ที่ลงท้ายด้วย -an
Proper
noun
proper
adjective
proper
noun
proper
adjective
Algeria
Algerian
Libya
Libyan
Angola
Angolan
Malaysia
Malaysian
Argentina
Argentinean หรือArgentinian
Mexico
Mexican
Australia
Australian
Morocco
Moroccan
Belgium
Belgian
Mozambique
Mozambican
Brazil
Brazilian
Nicaragua
Nicaraguan
Canada
Canadian
Niger
Nigerian
Cuba
Cuban
Norway
Norwegian
Egypt
Egyptian
Panama
Panamanian
Fiji
Fijian
Paraguay
Paraguayan
Germany
German
Peru
Peruvian
Ghana
Ghanaian
Rhodesia
Rhodesian
Haiti
Haitian
Romania
Romanian
Honduras
Honduran
Russia
Russian
Indonesia
Indonesian
Singapore
Singaporean
Iran
Iranian
Syria
Syrian
Italy
Italian
Tahiti
Tahitian
Jordan
Jordanian
Tibet
Tibetan
Laos
Laotian
Zaire
Zairean,Zairian
1.3 คำ Proper adjective ที่ลงท้ายด้วย – i
Proper noun
proper adjective
proper noun
proper adjective
Bahrain
Bahraini
Oman
Omani
Iraq
Iraqi
Pakistan
Pakistani
Israel
Israeli
Yemen
Yemeni
Kuwait
Kuwaiti


1.4 คำพิเศษ
Proper
noun
proper
adjective
proper
noun
proper
adjective
Thailand
Thai
Malaya
Malay
Greece
Greek
Sri Lanka
Ceylonese
Afghanistan
Afghan


1.5 ประเทศซึ่งคำคุณศัพท์ กับคำที่เรียกคนของประเทศนั้นไม่เหมือนกัน
Proper Noun
Proper adjective
person
Botswana
Setswana (ภาษา)
Motswana ( เอกพจน์)
Batswana( พหูพจน์)
Cyprus
Cyprian
Cypriot
Czechoslovakia
Czech
Czechoslovakian
Denmark
Danish
Dane
Finland
Finnish
Finn
Holland ( The Netherlands)
Dutch
Hollander
Iceland
Icelandic
Icelander
Ireland
Irish
Irishman
Luxemburg
Luxemburg
Luxemburger
Mongolia
Mongolian
Mongol
New Zealand
New Zealand
New Zealander
The Philippines
Philippine
Filipina ( หญิง )
Filipino ( ชาย )
Poland
Polish
Pole
Somalia
Somalian
Somali
Spain
Spanish
Spaniard
Sweden
Swedish
Swede
Turkey
Turkish
Turk
Yugoslavia
Yugoslavian
Yugoslav
 2. Descriptive Adjective ( คุณศัพท์แสดงคุณสมบัติ )
เป็นคำคุณศัพท์บอกลักษณะ คือจะไปขยายนามเพื่อบอกให้รู้ว่า นามนั้นมีลักษณะ คุณสมบัติ หรือความพิเศษอย่างไร เป็นชนิดที่ใช้มากที่สุด เช่น
large
fat
big
huge
heavy
light
thin
small
cheap
expensive
brave
coward
white
dark
tall
handsome
ตัวอย่าง เช่น    a dark, tall and handsome man,  an expensive car
 3. Quantitative Adjective ( คุณศัพท์แสดงปริมาณที่นับไม่ได้ )
เป็นคำคุณศัพท์บอกปริมาณ คือไปขยายนามที่นับไม่ได้ (uncountable noun ) เพื่อบอกให้ทราบปริมาณของสิ่งนั้น ว่ามีมากหรือน้อย แต่ไม่บอก จำนวนแน่นอน เช่น
much
any
half
enough
little
all
whole
some
great
sufficient
ตัวอย่างเช่น
We needed some money. เราต้องการเงินจำนวนหนึ่ง
He showed 
great patience. เขาแสดงให้เห็นว่ามีความอดทนสูง
 4. Numeral Adjective
เป็นคำคุณศัพท์ที่บอกจำนวนมากน้อยของนามที่นับได้ ( countable noun )หรือบอกลำดับก่อนหลัง ( order ) ของคำนาม แบ่งเป็น พวก
1. บอกจำนวนที่แน่นอน ( Definite Numeral ) อาจจะแบ่งออกได้เป็น ชนิด

(1) บอกจำนวนนับ ( Cardinal)  one, two, three, four ………..

(2) บอกลำดับที่ ( Ordinal )  first, second, third…………….

(3) บอกจำนวนเท่า ( Multiplicative )   single, double, triple……………

2. บอกจำนวนที่ไม่แน่นอน ( Indefinite Numeral ) เช่น

many
no
few
some
several
any
all
enough
 5. Demonstrative Adjective
เป็นคำคุณศัพท์ชี้เฉพาะคำนาม ซึ่งระบุเจาะจงไปโดยชัดแจ้งว่าเป็นคำนามอันไหน สิ่งไหน หรือคนใด แบ่งเป็น ชนิด
1. Definite Demonstrative ชี้เฉพาะโดยชัดแจ้ง ได้แก่
the
this
these
that
those
such
the same
the other
2. Indefinite Demonstrative ชี้ให้เห็นอย่างกว้าง ได้แก่
a
one
such
any other
an
a certain
some
other
any
certain
another

 6. Distributive Adjective
เป็นคำคุณศัพท์ซึ่งไปขยายคำนามเพื่อแยกคำนามนั้นๆออกจากกัน เช่น
each
แต่ละ ใช้สำหรับ สิ่งหรือมากกว่าขึ้นไป
every
ทุกๆ ใช้เฉพาะนามที่มากกว่า สิ่งขึ้นไป
either
อันใดอันหนึ่งใน สิ่ง
neither
ไม่ใช่ทั้ง สิ่ง
 7. Possessive Adjective
เป็นคำคุณศัพท์ประกอบหน้านามเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น  my , your, his , her, its, their our
 8. Interrogative Adjective
เป็นคำคุณศัพท์ขยายคำนามเพื่อแสดงคำถาม เช่น   what   which   whose
หมายเหตุ คำคุณศัพท์เหล่านี้จะต้องมีคำนามตามหลังเพราะหากไม่มีคำนามตามหลัง จะกลายเป็นสรรพนาม ( pronoun ) ไม่ใช่คุณศัพท์ เช่น
Pronoun
Adjective
What did you see ?
What book did you read?
djectives
Formation (การทำให้เป็นคำคุณศัพท์ )

คำคุณศัพท์นอกจากเป็นด้วยตัวของมันเองแล้ว ยังสามารถนำชนิดของคำอื่นมาทำให้เป็นคำคุณศัพท์ได้ด้วย เช่น

1. คำคุณศัพท์ที่มาจากคำนามโดยการเติม Suffix ท้ายคำเช่น

คำนาม
คำคุณศัพท์
education
การศึกษา
educational
เกี่ยวกับการศึกษา
gold
ทอง
golden
ทำด้วยทอง
fool
ความโง่
foolish
อย่างโง่ๆ
care
ระมัดระวัง
careless
ไม่ระมัดระวัง
friend
เพื่อน
friendly
เป็นเพื่อน
danger
อันตราย
dangerous
เป็นอันตราย
trouble
ยุ่งยาก
troublesome
ความยุ่งยาก
dust
ฝุ่น
dusty
เต็มไปด้วยฝุ่น

2. คำคุณศัพท์ที่มาจากคำกริยา ( Verb) โดยการเติม suffix ท้ายคำ เช่น

คำกริยา
คำคุณศัพท์
talk
พูด
talkative
ช่างพูด
sleep
หลับ
sleepy
ง่วงนอน
differ
แตกต่าง
different
ความแตกต่าง
accept
ยอมรับ
acceptable
เป็นที่ยอมรับได้
wash
ซัก
washable
ซักได้



Credit.